โหราศาสตร์ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ Part 3

ต่อไปจะเป็นหลักการในเบื้องต้นที่จะต้องมีเพื่อให้หลักการทำนายนั้นมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถทพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์หรือไม่

โหราศาสตร์ต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษย์

เรื่องของจำนวนดวงดาวที่นำมาใช้ทำนายนี้ เราต้องถือว่าดวงดาวทุกดวงล้วนมีอิทธิพลเสมอกันหมด เพราะเราไม่มีอำนาจหยั่งรู้ใดที่จะบอกได้ว่าดวงดาวนั้นมีอิทธิพลแต่ดวงดาวอื่นไม่มี อย่างนี้จะเป็นการเลือกใช้ดวงดาวตามอคติของคน หากเรามีสมมุติฐานว่าดวงดาวน่าจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในการพิสูจน์เราก็ต้องถือเอาดวงดาวทุกดวงว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ ไม่ควรที่จะเลือกเฉพาะดาวดวงใดดวงหนึ่งและตัดดาวดวงใดออกไป หากดวงดาวที่เป็นวัตถุที่อยู่นอกโลกนี้จะมีอิทธิพลต่อมนุษย์นั่นย่อมหมายความว่าดวงดาวทุกดวงก็ต้องล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษยเสมอเหมือนกัน แต่ในทางสสารหรือพลังงานใด ๆ ที่ต่างกันของดวงดาวแต่ละดวงก็มีโอกาสที่ดวงดาวแต่ละดวงจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในแบบที่แตกต่างกันไป ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า หากดวงดาวจะมีอิทธิพลก็ต้องมีอิทธิพลทุกดาว เพราะถือว่าเป็นดวงดาวเสมอกัน แต่หากจะมีดวงดาวที่มีอิทธิพลและมีดวงดาวที่ไม่มีอิทธิพล อย่างนี้ยิ่งจะดูไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก และเราจะไม่สามารถตอบได้เลยว่าเหตุใดดาวดวงหนึ่งมีอิทธิพลแต่ดาวดวงอื่น ๆ ไม่มีอิทธิพล แต่ทางที่สมเหตุสมผลมากที่สุดคือ หากดวงดาวจะมีอิทธิพลต่อมนุษ์มันก็ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในทุก ๆ ดวงดาว และหากดวงดาวจะไม่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ดาวทุกดวงก็ต้องไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อมนุษย์เลย อีกด้านหนึ่งหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้แม้แต่เพียงแค่ดวงเดียวนั่นก็ย่อมหมายความได้ว่าดวงดาวดวงอื่น ๆ ก็จะต้องมีอิทธิพลด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบว่าดาวดวงอื่น ๆ นั้นมีอิทธิพลอะไร แต่ก็ย่อมมีมูลให้เชื่อได้ว่ามีอิทธิพล

ในการพิสูจน์นั้นต้องถือว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในระดับใด

ดวงดาวนั้นมีอิทธิพลต่อมนุษย์ในระดับไหน ? หากเป็นในโหราศาสตร์แบบเก่า อิทธิพลของดวงดาวมักจะมีในรูปแบบของการมีมาเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ เช่น ว่ายามปรกติคนเราอาจจะดำเนินชีวิตไปได้ด้วยตนเอง คือมีความเป็นตนเองอยู่เต็มที่ แต่ก็จะมีบางช่วงที่อิทธิพลของดวงดาวจะเข้ามาแทรกแทรงให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเช่นนี้ได้เป็นครั้ง ๆ ไป โหราศาสตร์ในแบบเก่ามักจะมองว่าอิทธิพลของดวงดาวจะสำแดงออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งลักษณะแนวคิดเช่นนี้ย่อมไม่สามารถที่จะพิสูจน์ความจริงได้ว่าแท้จริงแล้วดวงดาวมีอิทธิพลจริงหรือไม่ เพราะเขามองไม่เห็นถึงรูปแบบนิสัยที่บ่งบอกถึงตัวตนที่ติดตัวอยู่กับคนแต่ละคนว่าเป็นสิ่งที่คนทุกคนไม่สามารถที่จะสลัดออกไปหรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไปได้ คนทุกคนมีแต่จะต้องรักษามันเองไว้ เมื่อเขามองไม่เห็นสิ่งนี้เขาจึงไปจับเอาการทำนายที่เป็นเรื่องของอนาคตเสียเป็นส่วนใหญ่ อิทธิพลของดวงดาวในแบบของเขาจึงเป็นลักษณะที่มาเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วอนาคตของคนแต่ละคนก็ย่อมเกิดจากนิสัยหรือความเป็นตัวตนของคน ๆ นั้นเป็นหลักนั่นเอง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าความเป็นตัวตนของคนเรานี้ เราสามารถมองเห็นได้จากรูปแบบความคิด, ความต้องการ หรือรูปแบบนิสัยของคน ๆ นั้น สิ่งเหล่านี้คือรูปแบบที่มีอยู่ประจำตัวของคนทุกคน หากใครจะเถียงว่าไม่จริงก็ลองให้เขาพยายามเปลี่ยนหรือฝืนความเป็นตัวตนเหล่านี้ดูเถิด เขาจะพบแรงเสียดทานและแรงกดดันภายในตนเองมากมาย แม้จะทำได้ก็ต้องควบคุมหรือใช้สติเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่กับรูปแบบนิสัยของตนเองในแบบที่เป็นอยู่ แม้ผู้ที่มีความสงบสันโดษพึงพอใจในความสงบอยู่เป็นปรกตินั่นก็เพราะรูปแบบความคิดและนิสัยของเขาเป็นรูปแบบเช่นนั้น หากเขาจะต้องฝืนจากสิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำได้ไปตลอดเช่นกัน

ในการที่ผมกล่าวถึง “ความเป็นตัวตน” ของคนในแต่ละครั้งขอให้เข้าใจว่าผมหมายถึงตัวตนที่มีองค์ประกอบของ รูปแบบความคิด, ความต้องการและรูปแบบนิสัย เหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของคน ความเป็นตัวตนเหล่านี้แหละที่คนทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าตัวเรานั้นมีลักษระเป็นเช่นไรและเราย่อมต้องปกป้องและรักษาความเป็นตัวตนของตนเองอยู่เป็นปรกติ และผู้อื่นก็เช่นกัน เรายังสามารถที่จะจดจำความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้ นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าความเป็นตัวตนของคนนั้นมีรูปแบบที่อยู่เป็นประจำตัวของคนแต่ละคน มันจึงเทียบเท่ากับว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้คนแต่ละคนนั้นเป็นในแบบนั้นอยู่แล้ว ฉะนั้นแล้วหากเราจะตั้งสมมุติฐานว่าดวงดาวจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างไรนั้น ดวงดาวนั้นก็สมควรที่จะมีอิทธิพลที่มากำหนดรูปแบบความเป็นตัวตนของคนที่แสดงออกมาในรูปแบบของความคิด, ความต้องการและรูปแบบนิสัยของคนนั่นเอง หากดวงดาวจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างแท้จริงเสียแล้วมันจะต้องมีอิทธิพลถึงระดับนี้อยู่เดียวเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ประจำตัวของคนแต่ละคนจนตัวเราเองก็ยังรู้ว่าตนเองเป็นเช่นไรและผู้อื่นก็จำจดเราได้จากนิสัยของเรานี้เอง สิ่งที่เราจะต้องเป็นเช่นนั้นนี่แหละจึงสมควรจะเป็นสิ่งที่ดวงดาวมีอิทธิพลกำหนดเอาไว้ (หากดวงดาวจะมีอิทธิพลจริง)

การวางระบบของโหราศาสตร์เช่นนี้จะสามารถทำให้เราสามารถพิสูจน์โดยการเทียบความถูกต้องจากความคิดหรือนิสัยของคนที่เราทำนาย สมมุติว่ามีดวงดาวในระบบสุริยะ 1 ล้านดวง นั่นก็หมายความว่าเรามีรูปแบบความคิดหรือนิสัยอยู่ 1 ล้านรูปแบบอยู่ในตัวเรา ดวงดาวทั้งหมดในระบบสุริยะ (เป็นอย่างน้อย) นั้นก็คือองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์หนึ่งคนที่มีอยู่ในแต่ละคนนั่นเอง ระบบเช่นนี้ถึงจะเป็นการพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลจริงหรือไม่ตามหลักที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่หากเราจะถือเพียงแค่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลโผล่ออกมาเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ เช่นนี้ ย่อมไม่สมเหตุสมผลเลย เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ดวงดาวจะให้ผล เมื่อไหร่ดวงดาวยังไม่ให้ผล ดวงดาวมันมีความคิดในแบบคนหรืออย่างไรถึงจะต้องคอยมาตัดสินใจว่าจะให้ผลเมื่อไหร่และแก่คนใดบ้าง ?

คำถามที่ว่าหากดวงดาวมีอิทธิพลกำหนดมนุษย์ในระดับใดนี้ เป็นสิ่งที่ต้องมีหลักการที่แน่ชัดมิฉะนั้นหลักการทำนายนั้นจะไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้เลย ผมจึงสรุปว่า สิ่งใดที่เป็นรูปแบบที่มีอยู่ประจำตัวของมนุษย์ในแบบที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของคน ๆ นั้นนั่นแหละคือสิ่งที่ดวงดาวกำหนด (หากดวงดาวจะมีอิทธิพลกำหนดมนุษย์จริง) เพราะหากเราไปถือการกำหนดในแบบที่ห่างออกไปจากความเป็นตัวตนของคนแล้ว นั่นย่อมไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย มีแต่เพียงความรู้สึกของผู้ฟังว่าทำนายแม่นหรือไม่แม่นเท่านั้น

ลำพังเพียงแค่การทำนายแม่นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อมนุษย์จริง

ความแม่นยำในการทำนายนั้นยังไม่สามารถนำมาใช้พิสูจน์ได้ว่าดวงดาวนั้นมีอิทธิพลจริงหรือไม่ เพราะความแม่นยำนั้นอาจไม่ได้มาจากหลักที่สามารถพิสูจน์ได้จริง เช่นการทำนายที่เป็นคำทำนายแบบเหมารวม ทำนายแบบกว้าง ๆ มีความหมายครอบคลุมไปเสียทั้งหมดหวังให้ผู้ฟังไปตีความเอาเอง หรือคำทำนายที่มีเรื่องของความเชื่อผสมเข้าไปด้วย หรือคำทำนายที่สอดแทรกความคิดเห็นหรือการวิเคราะห์ส่วนตัวเข้าไปด้วย คำทำนายประเภทนี้เป็นคำทำนายที่ไม่ยึดโยงอยู่กับหลักการทางโหราศาสตร์ที่เป็นความจริงใด ๆ มักเป็นคำทำนายที่เกินมาจากหลักการทำนายนั้น ทำให้เราไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ๆ ว่าคำทำนายนั้นมาจากจุดอิทธิพลใด และความแม่นยำนั้นก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นการอ้างอิงมาจากจุดอิทธิพลนั้น

ในการพิสูจน์โหราศาสตร์นั้นคำนำนายแต่ละคำทำนายนั้นจะต้องมีการอ้างอิงกับจุดอิทธิพลที่แน่นอน เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่าจุดอิทธิพลที่นำมาอ้างอิงนั้นสามารถนำมาทำนายได้อย่างแม่นยำหรือไม่ และคำทำนายนั้นต้องไม่เป็นคำทำนายที่นอกเหนือไปจากกฎการทำนายนั้น มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องใด ๆ ได้เลย (ในส่วนนี้คงต้องลงรายละเอียดในเรื่องของทฤษฎีการทำนาย สามารถตามอ่านได้ในบทความเกี่ยวกับทฤษฎีในการทำนาย)

ความหมายของดวงดาวแต่ละดวงต้องมีความหมายที่เฉพาะเจาะจง

หลักการที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการที่เราจะต้องแยกแยะว่าดวงดาวแต่ละดวงนั้นมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างไรกันแน่ถ้ามันจะมีจริง ๆ (เมื่อผมกล่าวถึงว่าดวงดาวต่าง ๆ นั้นมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างไรในบางบริบทผมจะใช้คำว่า “ดวงดาวนั้นมีความหมาย…” แทนคำว่า “ดวงดาวนั้นมีอิทธิพล…”) ในระบบโหราศาสตร์แบบเก่านั้นมีการใช้ดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง (ดวงอาทิตย์ถึงดาวพลูโตเป็นอย่างมาก) ทำให้การแบ่งแยกความหมายของดวงดาวนั้นจึงเป็นแบบกะประมาณความหมายเอา กล่าวคือดวงดาวแต่ละดวงมีความหมายที่ดิ้นได้ การตีความอาจมีการตีความที่กว้างขวางและไปซ้อนทับกับความหมายของดาวอื่นอยู่เป็นปรกติ ด้วยการใช้ดวงดาวจำนวนเพียบน้อยนิดเมื่อเทียบกับดวงดาวทั้งระบบสุริยะแบบนี้จึงทำให้การแยกแยะความหมายของดวงดาวอย่างแน่ชัดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย สมมุติว่าดวงดาวในระบบสุริยะมี 1 ล้านดวง นั่นย่อมหมายความว่าในระบบสุริยะนี้มี 1 ล้านอิทธิพลของดวงดาวที่มีต่อมนุษย์ในแต่ละคน ดวงดาวหนึ่งดวงจึงมีหนึ่งความหมายเฉพาะของดาวดวงนั้น ฉะนั้นแล้วการที่เราจะสามารถแยกแยะความหมายของดวงดาวออกจากกันได้อย่างแม่นยำหรือมีความใกล้เคียงที่สุดนั้น เราย่อมต้องใช้ดวงดาวในจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่จะมาได้ในการที่จะแยกแยะความหมายของดวงดาวแต่ละดวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากเราใช้ดวงดาวเพียงแค่ไม่เกินสิบดวงและไม่มีการนำดาวดวงอื่นมาใช้เพิ่มเลย ผู้ใช้ย่อมคิดไปเองว่าความหมายของดวงดาวมีอยู่เพียงแค่ดาวที่เขาใช้นั้นหรือส่วนใดที่เกินกว่าดวงดาวจะทำนายก็ใส่ให้เป็นเรื่องของความเชื่อไปก็ได้

ฉะนั้นระบบของการตีความหมายของดวงดาวนี้ เมื่อเราถือว่าดวงดาวทุกดวงนั้นมีอิทธิพลต่อมนุษย์ นั่นหมายความดวงดาวแต่ละดวงนั้นมีความหมายที่แท้จริงอยู่เพียงแค่หนึ่งความหมายต่อดาวหนึ่งดวงเท่านั้น และดวงดาวทุกดวงหลอมรวมกันเป็นความเป็นตัวตนของคนหนึ่งคน ซึ่งทุกคนล้วนได้รับอิทธิพลของดวงดาวทุกดวงเสมอกันแต่มีสัดส่วนที่ต่างกันไป ดังที่เราจะเห็นได้ว่าคนแต่ละคนนั้นมีรูปแบบนิสัยที่แตกต่างกันไป หากถือหลักการเช่นนี้การตีความหมายของดวงดาวแต่ละดวงจะไม่มีการตีความซ้ำซ้อนกัน เราจะสามารถตรวจสอบได้ว่าดวงดาวใดที่เราตีความหมายถูกหรือผิด เราสามารถที่จะรู้ถึงการตีความหมายที่ผิดพลาดได้ว่าเป็นที่จุดใด การทำนายนั้นก็จะเป็นการทำนายโดยใช้ดวงดาวที่เรารู้ความหมายหรือมีความมั่นใจในความหมายของดวงดาวนั้นแล้วจริง ๆ ถึงจะนำมาใช้ทำนาย หรืออาจเป็นกรณีที่เรานำดวงดาวที่คาดว่าจะมีความหมายเช่นไรมาทดลองทำนายก็ทำได้เช่นกัน ระบบเช่นนี้จึงเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของการตีความหมายของดวงดาวได้อย่างถูกจุด และมีความเป็นเหตุเป็นผลสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าดวามดวงมีอิทธิพลต่อมนุษย์จริงหรือไม่