“เรือนชะตาโลก” คือ จักรราศี โดยแบ่งราศีต่างเป็นเรือนชะตา 12 เรือน เรือนชะตาโลกที่ 1 คือ ราศีเมษ และเรียงลำดับไปจนครบ 12 ราศี คือ 12 เรือน
เรือนชะตาโลกออกเป็นสองแบบ คือ
- เรือนชะตาโลกที่อยู่ประจำตัวของคนแต่ละคน
- เรือนชะตาโลกที่เคลื่อนตัวไปอยู่ ณ ปัจจุบันทุกขณะ
เรือนชะตาโลกที่อยู่ประจำตัวของคนแต่ละคน คือเรือนชะตาโลกที่เป็นของเราเอง นั่นคือเมื่อคนเราเกิดมาก็จะต้องมีเรือนชะตานี้อยู่เป็นประจำตัวของคนแต่ละคน ตอนที่เขาเกิด เรือนชะตานี้จึงเป็นเรือนชะตาโลกที่เป็นของประจำตัวของคน เรือนชะตาโลกแบบประจำตัวของคนนี้บอกถึง การมองโลกของคน ๆ นั้นว่าเขามีมุมมองต่อโลกและยุคสมัยอย่างไร หรือเป็นมุมมองที่มีต่อสังคม, ประเทศหรือการปกครองตามโลกในแบบของเขา กล่าวง่าย ๆ ก็คือ เรือนชะตาโลกคือเป็นตัวที่บอกถึงความที่คน ๆ นั้น เป็นคนในยุคเจนเนอเร่ชั่นไหนนั่นเอง เพราะคนที่เกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั้งหมดคนเหล่านั้นก็จะมีเรือนชะตาโลก (แบบประจำตัว) ที่ใกล้เครียงกัน เมื่อนำคนที่เกิดในยุคที่ห่างกันมาก ๆ มาเทียบเรือนชะตาโลก (แบบประจำตัว) เราก็จะเห็นถึงความแตกต่างของเรือนชะตาโลก (แบบประจำตัว) อย่างเห็นได้ชัด เราจึงจะสังเกตุได้ว่าการมองโลกของคนในแต่ละยุคสมัยนั้นจะมีความแตกต่างกัน เพียงแค่คนรุ่นพอกับรุ่นลูกก็มีมุมมองต่อโลกที่ต่างกันเป็นอย่างมากแล้ว นั่นก็เพราะเรือนชะตาโลก (แบบประจำตัว) ที่แตกต่างกันนั่นเองจึงมักเกิดคำกล่าวถึง การเป็นคนรุ่นนั้นรุ่นนี้ขึ้นมาเปรียบเทียบกันนั่นเอง
เรือนชะตาโลกแบบที่สองคือ เรือนชะตาโลกที่เคลื่อนตัวไปอยู่ ณ ปัจจุบันทุกขณะ นั่นคือ เรือนชะตาโลก ณ ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดเป็นเรือนชะตาโลกที่เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา เรือนชะตาโลกแบบนี้จึงเป็นเรือนชะตาโลกที่เป็นโลก ณ ปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งโลก ณ ปัจจุบันนั้นก็คือ “กระแสของโลก” นั่นเอง ยิ่งเวลาเคลื่อนผ่านไปมากเท่าใด เรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) ก็จะเคลื่อนไปเรื่อย ๆ จนทิ้งห่างจากเรือนชะตาโลก (แบบประจำตัว) ของคนแต่ละคนมากขึ้น ๆ นั่นหมายความว่ายิ่งเวลาเคลื่อนผ่านไปกระแสโลก ณ ปัจจุบันยิ่งห่างออกไปจากมุมมองต่อโลกที่เขามีอยู่ และมุมมองต่อโลกของเขานั้นจะยิ่งเป็นมุมมองที่ล้าสมัยต่อโลกปัจจุบันมากขึ้น หรือการที่เขาจะมีมุมมองที่ทันต่อโลก ณ ปัจจุบันนั้นจะยิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้น ฉะนั้นแล้วคนที่เกิดมาก่อนนับวันจะยิ่งมีมุมมองต่อโลกที่ล้าสมัยเร็วกว่าคนที่เกิดมาในรุ่นหลัง ๆ และก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
“กระแสของโลก” คืออะไร ? กล่าวง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เป็นเทรนด์ของโลกหรือของสังคมบนโลกนั่นเอง และสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกหรือกระแสทั้งหลายบนโลกนั่นก็คือ “คน” นั่นเอง กระแสของโลกจึงเป็นกระแสของคนบนโลกที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างไม่หยุด แต่กระแสของโลกนั้นไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยคน ๆ เพียงคนเดียวได้ เพราะกระแสนั้นเป็นสิ่งที่เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจนเป็นกระแส คำว่า “คน” ในที่นี้จึงต้องเทียบเท่ากับ “ประชาชน” เสียมากกว่า กระแสของโลกก็คือกระแสของเจตจำนงค์ของประชาชน
ทำไมถึงต้องเป็น “กระแส” ความเป็นกระแสนั้นคือสิ่งที่สิ่งนั้นทยอยกันเกิดขึ้นตาม ๆ กันไป เรื่อย ๆ จนกระแสนั้นทยอยกันสิ้นสุดไป นั่นคือกระแสทุกกระแสย่อมมีเกิดมีดับ เหตุที่สิ่งทั้งหลายทยอยเกิดกันเป็นกระแสนั่นก็เพราะว่าโลกและดวงดาวทั้งหลานในจักรวาลนั้นเคลื่อนตัวอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง เมื่อโลกและดวงดาวต่างเคลื่อนที่ไปย่อมส่งผลให้อิทธิพลของดวงดาวแต่ละดวงนั้นค่อย ๆ ทยอยส่งผลต่อคนบนโลกในช่วงเวลาที่ต่างกัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกจึงมีลักษณะที่เป็นกระแสที่เกิดตาม ๆ กัน เพราะโลกและดวงดาวทั้งหลายเคลื่อนตัวไปไม่หยุดเรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) จึงเป็นเรือนชะตาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกขณะตามการเคลื่อนที่นั้น ความเป็น “กระแส” จึงเกิดขึ้น กระแสทั้งหลายบนโลกจึงเป็นสิ่งที่ทยอยกันเกิดขึ้นและทยอยกันหมดไป และการที่การที่สิ่งนั้นจะเกิดตามกระแสอื่นที่เกิดมาก่อนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละประเทศนั้นด้วย หากประเทศนั้นไม่มีเหตุปัจจัยหรือมีไม่พอสิ่งนั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นอย่างเป็นไปตามกระแสได้
เรือนชะตาโลก ณ ปัจจุบัน นี้จึงบอกถึงความต้องการของประชาชนส่วนมากที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน นั่นคือคนส่วนใหญ่บนโลกเกิดความต้องการเหล่านั้นร่วมกันจนเกิดเป็นกระแสแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งในบางประเทศนั้นอาจจะเกิดตามกันหรือไม่เกิดตามก็ต้องขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศนั้น เรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) นี้จึงเป็นเรือนที่บอกถึงกระแสความต้องการของประชาชนบนโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกทุกขณะ บางกระแสก็คงอยู่อย่างยาวนาน บางกระแสก็อยู่ไม่นาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของดวงดาวที่ให้ความหมายนั้น ดาวดวงที่มีขนาดใหญ่จะมีการเคลื่อนที่ที่ช้ากว่าดาวดวงที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าย่อมบอกถึงกระแสที่เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ และยาวนานกว่า ยิ่งมีขนาดใหญ่มากยิ่งเป็นกระแสความคิดที่อยู่อย่างยาวนาน เรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) จึงเป็นหลักการที่เราสามารถใช้ดูกระแสของโลกที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในอดีต, ปัจจุบันและอนาคต ทั้งนี้ความแม่นยำก็ต้องขึ้นอยู่กับการตีความหมายของดวงดาวที่นำมาใช้ด้วย
โดยปรกติแล้วแม้ไม่มีเรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) กระแสของโลกนั้นเป็นสิ่งที่คนทุกคนสามารถเห็นได้ไม่มากก็น้อย คนทุกคนย่อมมองเห็นกระแสของโลกผ่านระบบการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันนี้ที่โลกเรานี้มีสื่อโซเชี่ยลมีเดียร์ที่เป็นสื่อกลางที่ทำให้คนบนโลกนี้เชื่อมโลกถึงกัน ฉะนั้นแล้วกระแสของโลกจึงดูได้จากสื่อโซเชี่ยลมีเดียร์ทั้งหลายนั่นเอง สื่อโซเชี่ยลจึงเป็นสื่อที่สะท้อนความคิดและความต้องการของคนบนโลกได้ดีที่สุดในยุคสมัยนี้ แต่การจะเข้าใจถึงกระแสที่เกิดขึ้นนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนเอง กระแสที่เกิดขึ้นในสื่อโซเชี่ยลจึงสามารถที่จะเป็นผลสะท้อนจากเรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) ได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นหากการทำนายในเรือนชะตาโลก (ณ ปัจจุบัน) นั้นมีความแม่นยำเราก็ย่อมต้องเห็นกระแสของโลกที่ยืนยันออกมาเป็นเช่นนั้นด้วย
โดยปกติแล้วการทำนายเรือนชะตาโลกจะดูจากดาวที่เคลื่อนที่ผ่านเรือนชะตาหลัก เพราะการที่ดาวเคลื่อนผ่านเรือนชะตาหลักความหมายของดาวจะมีการผกผันไปในอีกแบบหนึ่งยกตัวอย่างเช่น จากเรือนที่ 12 ไปเรือนที่ 1 เปลี่ยนจากรับเป็นรุก, จากเรือนที่ 3 ไปเรือนที่ 4 เปลี่ยนจากตนเอง(ชาวโลก)มีเป็นผู้อื่น (หรือคนส่วนน้อย)มี, จากเรือนที่ 6 ไปเรือนที่ 7 เปลี่ยนจากต้องการรับจากผู้อื่น (หรือคนส่วนน้อย) เป็น ต้องการให้ผู้อื่น (หรือคนส่วนน้อย), จากเรือนที่ 9 ไปเรือนที่ 10 เปลี่ยนจากทำให้ผู้อื่น (หรือคนส่วนน้อย) เป็น ทำให้ตนเอง(ชาวโลก)